บทความอูมามิ อื่นๆ ที่่น่าสนใจ
เรื่องราวกินดีมีสุข
บทความอูมามิ อื่นๆ ที่่น่าสนใจ
สูตรอาหาร
เรื่องราวกินดีมีสุข
บทความอูมามิ อื่นๆ ที่่น่าสนใจ
กระดูกเล้ง
1500 กรัม
น้ำเปล่า
2 ลิตร
รากผักชีบุบ
2 ราก
กระเทียมบุบ
20 กรัม
เกลือ
5 กรัม
พริกแดงจินดาซอย
10 กรัม
ผักชีฝรั่งซอย
10 กรัม
พริกขี้หนูสวนตำ
20 กรัม
น้ำมะนาว
30 กรัม
น้ำปลา
15 กรัม
น้ำตาลทราย
3 กรัม
อายิโนะโมะโต๊ะ
2 กรัม
เมนูต้มเล้งหมูทำง่ายแบบสุด ๆ วัตถุดิบที่สำคัญที่สุดก็คือกระดูกเล้ง นำมาล้างทำความสะอาดคราบไขมัน คราบเลือดออกจนหมด จากนั้นตั้งน้ำในหม้อใช้ไฟกลางรอจนน้ำเดือดแบบมีฟองอากาศเล็กน้อย
ใส่กระดูกเล้งลงไปลวกเพื่อล้างกลิ่นคาว ล้างคราบเลือด ล้างคราบต่าง ๆ ลวกกระดูกหมูเวลาประมาณ 3-5 นาที ทำการเทน้ำต้มเล้งทิ้ง ล้างด้วยน้ำเปล่าสะอาดซ้ำจนสะอาดหมดจด และพักกระดูกเล้งเอาไว้
เคล็ดลับ: การเลือกกระดูกเล้งหรือเอียเล้งควรเลือกชิ้นที่มีเนื้อเยอะ ๆ เนื้อติดมัน เป็นกระดูกที่อยู่ส่วนสันหลังช่วงคอของหมูเพื่อให้ได้เนื้อติดกระดูกที่มีความนุ่มชุ่มฉ่ำ และเป็นส่วนของกระดูกที่ช่วยให้น้ำซุปหวานหอม ขั้นตอนของการล้างทำความสะอาดกระดูกเล้งให้นำไปคลุกเคล้ากับเกลือประมาณ 2-3 ครั้งเพื่อกำจัดคราบต่าง ๆ ออกจนหมด รวมถึงควรขูดเอาส่วนของไขกระดูกด้านหลังออกด้วย
หลังจากต้มหมูรอบแรกเสร็จและพักเอาไว้แล้ว ให้ใส่น้ำเปล่าสะอาดลงในหม้อกะให้พอท่วมกระดูกหมู ตั้งไฟด้วยไฟกลางค่อนอ่อน ใส่กระดูกเล้งที่พักไว้ลงไปโดยที่ไม่ต้องรอให้น้ำเดือด ตามด้วยใส่รากผักชีที่ผ่านการล้างทำความสะอาดเศษดินออกจนหมดแล้ว และเกลือป่นเล็กน้อย
ต้มจนกว่ากระดูกเล้งจะเปื่อยหรือต้มทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อน้ำเดือดเพิ่มขึ้นให้ทำการลดระดับไฟลงจนเป็นไฟอ่อน เคี่ยวต่อจนหมูเปื่อย หลังจากครบเวลาแล้วตรวจเช็กให้แน่ใจว่าเนื้อหมูเปื่อยยุ่ยได้ที่พร้อมสำหรับการทำต้มเล้งหมู ใส่กระเทียมกลีบปอกเปลือกล้างจนสะอาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เคล็ดลับ: ในระหว่างขั้นตอนการต้มกระดูกหมู 2-3 ชั่วโมง หากเจอว่ามีฟองเกิดขึ้น ให้หมั่นตักฟองออกอย่างสม่ำเสมอ ตักออกให้ได้มากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำต้มเล้งมีความขุ่น ช่วยให้น่ารับประทานมากขึ้น
ในช่วงระหว่างรอกระดูกเล้งเปื่อยให้เตรียมน้ำปรุงรสเล้งแซ่บ โดยใช้พริกขี้หนูสวนสีเขียวและพริกจินดาสีเขียวมาโขลกแบบหยาบหรือนำไปปั่นหยาบ ตักใส่ในชามผสม ปรุงรสชาติอื่น ๆ ด้วยการเติมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย อายิโนะโมะโต๊ะ
ตักน้ำซุปกระดูกหมูใส่เล็กน้อยให้ได้ความหอม คนให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี ปรุงรสชาติให้มีรสเปรี้ยวนำ เผ็ดตาม ผสมผสานกับรสชาติเค็มแบบอ่อน ๆ ใส่ใบผักชีฝรั่งซอยลงในน้ำต้มเล้งปรุงรส หรือสามารถใส่ผักโรยชนิดอื่น ๆ เช่น ต้นหอม ผักชี ลงได้ด้วยได้เช่นกัน
เคล็ดลับ: การเลือกใช้พริก 2 ชนิดผสมกัน คือพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็ก ที่ให้รสชาติความเผ็ดแสบ มีกลิ่นหอมพริกเฉพาะตัว ใช้คู่กับพริกจินดาเม็ดใหญ่ ให้รสชาติเผ็ดแต่ไม่แสบและกลิ่นไม่กลบรสชาติของอาหาร เมื่อนำพริกทั้งสองชนิดมาผสมกันจะได้รสชาติเผ็ดจัดจ้าน มีกลิ่นหอม หากใช้พริกขี้หนูสวนเพียงอย่างเดียวจะทำให้รสชาติเผ็ดโดดความอร่อยลดน้อยลง
เมื่อเช็กเนื้อกระดูกเล้งว่าเปื่อยได้ที่แล้วให้ปิดเตาและยกลง จากนั้นตักกระดูกเล้งและน้ำซุปใส่ลงในถ้วยขนาดใหญ่ ราดความแซ่บด้วยน้ำปรุงรสสุดจี๊ดจ๊าดตามลงไปให้ทั่วทั้งชิ้นกระดูกเล้งเป็นขั้นตอนสุดท้าย จะได้เมนูต้มเล้งหมูที่น่ารับประทาน
เคล็ดลับ: การนำต้มเล้งออกมาราดน้ำต้มสุดแซ่บด้านนอก จะช่วยให้รสชาติของเล้งมีความอร่อยกลมกล่อม หากทำการปรุงรสชาติอยู่ในหม้อจะส่งผลให้กระดูกเล้งมีรสชาติที่ผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้
เพียงเท่านี้ก็จะได้สุดยอดเมนูอาหารแซ่บ ๆ ไว้รับประทาน สำหรับวิธีทำต้มเล้งวิธีนี้ เป็นวิธีทำต้มเล้งง่าย ๆ ที่สามารถทำได้บ่อยครั้ง จะทำทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ ก็ดี หรือจะทำขายก็ได้เช่นเดียวกัน รับรองว่าใครทานก็ติดใจอย่างแน่นอน! นอกจากเล้งจะอร่อยจนหยุดไม่อยู่แล้วยังอุดมไปด้วยคอลลาเจนเป็นจำนวนมาก การรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยเติมคอลลาเจนให้กับร่างกายได้ มีทั้งในน้ำซุปและตัวกระดูกเล้ง ถือว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและมีส่วนช่วยบำรุงร่างกายไปพร้อม ๆ กัน
ดูสูตรเมนูอูมามิอื่นๆ ที่น่าสนใจและสามารถทำตามได้ง่ายๆ
ดูสูตรเมนูอูมามิอื่นๆ ที่น่าสนใจและสามารถทำตามได้ง่ายๆ
ทำแบบสอบถามเพื่อพัฒนา/ปรับปรุงผลิตภัณฑ์
© 2023 Ajinomoto Co., Inc.
เราให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กับผู้ใช้ ท่านตกลงใช้คุกกี้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ต่อไป ดูรายละเอียด นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ข้อตกลงสำหรับการใช้งานเว็บไซต์นี้
ท่านสามารถเลือกตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด / ปิดคุกกี้แต่ละประเภทได้ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น (Strictly Necessary Cookies) ดังนี้ ข้อมูลเพิ่มเติม
คุกกี้ที่จำเป็น (Strictly Necessary Cookies)
Always Active
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ (Analytic Cookies)
คุกกี้เพื่อช่วยในการใช้งาน (Functional Cookies)
คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)